1 Cookery With Roughroro 23/10/2011, 16:19
Roughroro
พันจัตวาราฟโรโระ
>>>>>ยินดีต้อนรับสู่กระทู้ปรุงอาหารกับราฟโรโระ<<<<<
>>>>>แห่งร้าน Keron Resteraunt<<<<<
อัพเรื่อยๆ ^ ^
>>>>>แห่งร้าน Keron Resteraunt<<<<<
- ปลาชุบแป้งทอด(fish & chip):
- วันนี้เราจะทำปลาชุบแป้งทอด(fish & chip)
สูตรอาหาร
ฟิชแอนด์ชิปส์ (ปลาชุบแป้งทอดและมันฝรั่งทอด) Fish & Chips
• เวลาในการทำ 10-15 นาที
• ส่วนผสมสำหรับ 2 ที่
วัตถุดิบ
1. เนื้อปลาแล่ 2 ชิ้น
2. มันฝรั่งทอดแช่แข็ง
3. แป้งอเนกประสงค์
4. เกล็ดขนมปัง
5. ไข่ไก่ 1 ฟอง
6. Ranch 1 ถ้วย
7. ออริกาโน่
วิธีทำ
1. ปรุงปลาด้วย เกลือพริกไทยทั้งสองด้าน จากนั้นชุบลงในแป้ง ไข่ไก่ และเกล็ดขนมปังตามลำดับ จากนั้นก็ทอดในน้ำมันร้อนจัด อุณหภูมิมันจะประมาณ 180 องศา ทอดพอสีเหลืองอ่อนๆ ก็เอาขึ้นได้ครับ
2. ทอดมันฝรั่งต่อจากปลา จะได้มีกลิ่นหอมอ่อนๆของปลาติดอยู่ด้วยครับ
3. จัดปลาและมันฝรั่งทอดลงจาน โรยด้วยออริกาโน่ แล้วก็เสิร์ฟพร้อมกับ Ranch โลดครับ
ข้อแนะนำ
ระวังอย่าทอดปลานานเกินครับ เพราะทั้งหลายทั้งปวงที่เราชุบ จะทำให้ไหม้ง่าย
เกือบลืมบอกไป กินปลาเยอะๆจะได้ฉลาดนะครับ^ ^
จากเว็บ http://www.foodtravel.tv/recfoodShow_detail.aspx?viewId=935
- มักโรนีกับชีส:
วันนี้เราจะทำ มักโรนีกับชีส(macaroni & cheese)
เป็นกล่อง ๆ แบบนี้...มีหลากหลายรสชาติให้เลือกสรร
กินมาหลายรส...ไม่สามารถบอกได้ว่าชอบอะไรมากที่สุด กิน ๆ ไปเหอะ...รสคล้าย ๆ กันอะแหละ (- -")
ผมซื้อที่วิลล่ามาร์เก็ต ราคากล่องละประมาณ 65 บาท (กินมาตั้งแต่กล่องละ 40 บาทอะ - -")
1 กล่องทานได้ 2 คนอิ่มครับ
วันนี้เลือกรสนี้...เพราะวันหมดอายุมันก่อนเพื่อน (- -")
แหกกล่องออกมา เป็นมักกะโรนีแห้งรูปเปลือกหอย กับซองชีสผง ๆ
วิธีทำก็ง่ายมาก....
เพียงนำมักกะโรนีในกล่องไปต้มน้ำซะ
ต้มให้สุกนิ่ม เวลาก็ตามข้างกล่อง เพราะมักกะโรนีแต่ละชนิดใช้เวลาไม่เท่ากัน
พอมอง ๆ แล้วเห็นว่ามักกะโรนีใกล้ครบเวลาก็ตั้งกะทะเลยครับ!!!
โยนเนยลงไปตามสูตรข้างกล่อง (รู้สึกจะ 2 ช้อนโต๊ะ)
พอดีเบค่อนเหลือ...โยนลงไปด้วย
เคยลองทำใส่แฮม กับเห็ดฟางหั่นบาง ๆ ลงไป...หย่อยมาก!!!
(ผัดเห็ดและแฮมกับเนยให้สุกก่อนแล้วค่อยบรรเลงขั้นต่อไปนะครับ)
พอมักกะโรนีสุกก็เทน้ำออก...แต่ไม่ต้องสะเด็ดจนแห้งมากนะ (เราต้องการน้ำขลุกขลิกเอาไว้ทำชีสซอส)
แล้วเทลงมาในกะทะเลย
ใส่นมนิดนึงตามสูตรข้างกล่อง (2 ช้อนโต๊ะมั้ง)
แล้วสาดผงชีสที่เค้าให้มาจนหมดซอง....คลุก ๆ ผัด ๆ ให้เข้ากัน
ได้เยี่ยงนี้...เป็นมักกะโรนีที่คลุกเคล้ากับชีสซอสเยิ้ม ๆ!!!
ตักใส่จาน...ซูมชัด ๆ
หอม ๆ เยิ้ม ๆ เค็ม ๆ มัน ๆ
ผมชอบแบบใส่แฮมกับเห็ดฟางที่สุดเลย...ทานกันเป็นอาหารหลักก็ได้
หรือจะทานเป็นเครื่องเคียงพวกอาหารฝรั่งก็โอเค
จากเว็บ http://www.in-kitchen.com/content-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3!!:%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87Kraft-4-255-6091-1.html
ยาวเอาเรื่อง - -ตัดต่อนินนึง(ให้เป็นผู้ชายหน่อยเพราะว่าคนเขียนเป็นผู้หญิง - -)
- ไก่KFC:
วันนี้เราจะทำ ไก่ KFC
ล้างเลือดกับเศษเครื่องในที่ติดอยู่ออกให้หมด แล้ววางไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ ในการทำครั้งนี้ ใช้สะโพก ๒ ชิ้น กับปีกไก่อีก ๓ ชิ้น
แล้วเราก็จัดการทำน้ำเกลือหมักไก่กันครับ เครื่องปรุงไม่มีอะไรเลย ใช้เกลือป่นสักช้อนโตๆ ผสมกับน้ำซักประมาณ ๑/๒ ลิตรหรือน้อยกว่านั้นก็ได้ถ้าไก่น้อยชิ้นครับ
เอาไก่ที่จะทอดลงไปแช่ในน้ำเกลือไว้ประมาณ ๑๐-๒๐ นาทีนะครับ เพื่อเพิ่มรสชาติให้ไก่อีกหน่อย ถ้าเราเอาไก่ไปทอดเลย มันจะจืดไปหน่อย เพราะไก่ไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่ถ้าจะเอาเกลือทาไก่ ก็เกรงว่าจะเค็มเกินไป ใช้วิธีแช่น้ำเกลือแบบนี้แหละครับ กำลังพอดี
แล้วก็เตรียมน้ำมันสำหรับทอดไก่ครับ ใช้น้ำมันพืชอะไรก็ได้ พอท่วมไก่ ไม่เช่นนั้นทอดแล้วไก่ไม่สวย และสุกไม่ทั่วกัน เพื่อนๆจะใช้กระทะ ใช้หม้อไฟฟ้า หรือภาชนะอะไรทอดก็ตามสะดวกนะครับ แต่ต้องใส่น้ำมันให้พอท่วมไก่ แต่อย่าให้เกิน ๒ ใน ๓ ของภาชนะที่ใช้ทอดนะ ไม่งั้นน้ำมันจะล้นและกระฉอกออกมาเลอะเทอะครัวครับ ใช้ไฟแรงสุดเลยนะครับ
จากนั้นมาจัดการกับไก่กันครับ หาผ้าสะอาดมา ๑ ผืน ใช้ tea towel นั่นแหละครับ เหมาะที่สุด เอาไก่ที่เราแช่น้ำเกลือไว้แล้วมาวางบนผ้า แล้วซับให้แห้งครับ
ซับให้แห้งประมาณนี้นะครับ บางคนอาจจะใช้กระดาษ kitchen towel ก็ตามสะดวกนะครับ แต่ผมไม่ชอบ เพราะกระดาษบางทีมันเปื่อยติดหนังไก่ เลยใช้ผ้าดีกว่า ใช้เสร็จแล้วก็โยนเข้าเครื่องซักผ้าไปเลย ง่ายดี
ได้ไก่แล้วคราวนี้เราก็มีเตรียมแป้งทอดกันครับ เครื่องปรุงไม่มีอะไรมากมายเลย มีแค่แป้งสาลี เอาแบบที่มีในบ้านน่ะครับ
เริ่มจากใช้ช้อนกินข้าวตักแป้งใส่ชามใบโตๆหน่อยครับ วันนี้ทอดสะโพกไก่ติดน่อง ๒ ชิ้น กับปีกไก่อีก ๓ อันค่ะ ผมใช้ช้อนตักแป้งสาลีพูนๆแบบนี้มา ๓ ช้อนครับ ใส่ชามผสมรอไว้ก่อน
แล้วใช้ช้อนคันเดิมแหละครับตวงเกลือ กับพริกไทยป่น กะประมาณนี้นะครับ อย่างละประมาณ ๑/๓ ก็พอครับ แต่ถ้าใครชอบกลิ่นพริกไทยเยอะๆ ใส่เพิ่มไปอีกก็ได้นะครับ เท่าที่ใส่นี่จะไม่ได้กลิ่นพริกไทยฉุนเลยครับ เพราะลุงเด๋อไม่ชอบกินพริกไทยเลย แต่ถ้าจะไม่ใส่ รสชาติมันก็จะอ่อนไป ส่วนรสเค็มนั้น สามารถเพิ่มได้อีกนิดหน่อยถ้าชอบรสจัดกว่านี้ แต่ผมขอใส่แค่นี้พอ รสอ่อนหน่อย แล้วอีกอย่างน้ำจิ้มของหมูแดงก็มีรสเค็มด้วย ถ้าใส่เค็มมากเดี๋ยวจะไปกันใหญ่
ผสมแป้ง เกลือ และพริกไทย ให้เข้ากันแบบนี้นะคะ ตรงนี้ถ้าใครชอบไก่ทอดที่ออกรสเผ็ดแบบแม็กซิกัน จะใส่พริกปราปริก้าป่น สีแดงๆ เพิ่มลงไปก็ได้ครับ เราก็จะได้ไก่ทอดรสเผ็ด
นอกจากแป้งแล้ว ส่วนผสมอีกอย่างหนึ่งก็คือไข่ครับ ที่นี่ไข่ฟองเล็ก ผมใช้ ๓ ฟอง ตีรอไว้ก่อน เหมือนเรากำลังจะเจียวไข่น่ะครับ จำนวนไข่กะเอาตามจำนวนไก่ที่จะชุบนะครับ กะว่าให้พอชุบไก่ติดจนหมดก็แล้วกัน
เตรียมเครื่องปรุงพร้อมแล้ว ลองเช็คดูน้ำมันหน่อยครับว่าร้อนหรือยัง ต้องให้ร้อนจัดๆเลยนะครับ พอน้ำมันร้อนแล้ว เราก็มาจัดการชุบไก่กันครับ นำไก่ที่ซับแห้งแล้วเอามาชุบแป้งก่อนครั้งหนึ่ง พยายามเอาแป้งโรยให้ทั่วชิ้นไก่นะครับ
จากนั้นจับขาไก่ยกขึ้น แล้วเคาะเบาๆ ให้แป้งที่ชุบไว้มันร่วงลงมา ก็จะเหลือแป้งติดที่ไก่แค่พอบางๆแบบนี้เท่านั้นครับ
จากนั้นก็เอาไก่ไปชุบไข่ครับ ชุบให้ไข่ติดทั่วๆเลยนะครับ เพราะถ้าชุบไข่ไม่ติด แป้งก็จะไม่ติดเหมือนกันครับ
ชุบไข่แล้วเอาไก่กลับมาชุบแป้งอีกครั้ง แป้งชุดเดิมที่ชุบครั้งแรกนี่แหละครับ จะเห็นว่าแป้งจะติดที่ชิ้นไก่มากกว่าเดิม นั่นเพราะว่าไก่เปียก เพราะผ่านการชุบไข่มาแล้วไงครับ ตอนที่เราชุบแป้งครั้งที่ ๒ นี่นะครับ ให้ชุบเอาตามชอบเลยค่ะ บางคนชอบกินแป้งทอดกรอบ ก็ชุบไปเยอะๆ ไม่ต้องเคาะออก แต่ถ้าชอบแป้งบางๆ ก็ชุบแต่พอบางๆก็พอ
ของผมขอชุบประมาณนี้ครับ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
จากนั้นก็เอาไก่ลงทอดครับ เวลาเอาไก่ลงหม้อทอดนะครับ อย่าใส่ลงไปพรวดเดียวเลย ค่อยๆจุ่มไก่ลงไป แล้วดูว่าน้ำมันเดือดหรือเปล่า ถ้าน้ำมันเดือดแบบนี้ก็ค่อยๆหย่อนไก่ลงไปครับ
ใส่ไก่ลงไปแล้วน้ำมันต้องท่วมไก่แบบนี้นะครับ ไม่อย่างนั้นไก่จะสุกไม่เสมอกันและสีไม่สวย กระดำกระด่าง ไม่น่ากินครับ ต้องระวังอย่าโยนลงไปนะครับ เพราะถ้าโยนน้ำมันก็จะกระเด็น กระฉอกออกมาหมด แถมจะลวกมือเราเอาซะอีกแน่ะ
จะทอดไก่กี่ชิ้นก็จัดการชุบแล้วใส่ลงหม้อไปแบบนี้ครับ คอยดูด้วยนะครับ ต้องทอดไก่ให้พอดีกับน้ำมันและกับหม้อที่ใช้ทอด ใส่มากก็จะล้นหกเลอะเทอะอีก ถ้าแม่ครัวมือใหม่ใจไม่กล้าที่จะใช้มือจับก็ใช้ tong คีบไก่ค่อยๆหย่อนลงไปแทนนะครับ หรือจะเอาใส่ตะแกรงแล้วค่อยๆหย่อนลงไปแทน ข้อสำคัญอีกอย่างคืออย่าชุบไก่เตรียมไว้ล่วงหน้านะครับ จะทอดเมื่อไหร่แล้วค่อยชุบ เพราะไก่มีความชื้น ถ้าชุบแล้วไม่ทอดเลย แป้งชั้นนอกจะเปียก ทำให้ไม่กรอบครับ ชุบไป ทอดไป ดีที่สุดนะครับ เมื่อเอาไก่ลงทอดจนพอแล้ว ให้ลดไฟลงเหลือแค่ปานกลางครับ กะเวลาไว้ประมาณ 15 นาที
เตรียมถาด ปูกระดาษ kitcen towel เอาไว้ (กระดาษทิชชู่ ชนิดใหญ่ มีขายใน 7-11 ) เพื่อซับน้ำมันจากไก่ทอดด้วยครับ
ทอดไก่ไปแล้ว ๑๐ นาที เหลืออีกแค่ ๕ นาทีก็จะครบเวลาที่เราตั้งไว้ ไปดูซิว่าไก่เป็นอย่างไรบ้าง
สีเริ่มเหลืองสวยแล้วเห็นมั้ย แต่ใจเย็นๆก่อนนะ ไก่ยังไม่สุกดีหรอกครับ ถ้าเอาขึ้นตอนนี้ ไก่ข้างในก็จะยังมีเลือดแดงๆ กินไม่ได้ครับ
ครบ ๑๕ นาทีแล้ว ไก่ชุดแรกก็สุกกินได้แล้วครับ ตักขึ้นมาใส่ถาดที่รองกระดาษไว้ ซับน้ำมันเสียหน่อย ทิ้งไว้ซัก ๕ นาทีแล้วค่อยเอาไปเสริฟนะครับ ไก่จะได้สะเด็ดน้ำมันดี อันที่จริงจะทอดต่ออีกซัก ๕ นาที ให้ไก่เหลืองกว่านี้ก็ได้นะ ทีแรกผมก็ว่าจะทอดต่ออีกหน่อย ให้เกรียมกว่านี้ แต่คนรอกินนี่ซิครับ เดินมาเร่ิงหลายรอบ บอกว่าหิวแล้ว เลยทอดแค่นี้พอ ถึงจะไม่เหลืองเกรียมมาก แต่ไก่ข้างในก็สุกแล้วละครับ
หวังว่าเมนูนี้คงถูกใจใครหลายๆคนนะครับ ไก่ทอดแบบนี้เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี ลองทำดูนะครับ ไม่ยากเลย แต่ไม่อยากแนะนำให้ใช้ไก่ส่วนอกมาทอดเลยครับ เพราะไก่ที่มีแต่เนื้อล้วนๆ ทอดแล้วเนื้อจะแข็งหน่อย แต่ถ้าชอบก็เชิญลองดูได้ครับ
ยาวเอาเรื่อง - -ตัดต่อนินนึง
มาจากเว็บ http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=795.0
- แกงกระหรี่:
วันนี้เราจะทำ แกงกระหรี่ญี่ปุ่น
ในบรรดาเคอรี่ทั้งหลายเนี่ย นอกจากแกงมัสมั่นซึ่งเป็นของโปรดแล้วเราก็ชอบแกงกะหรี่ญี่ปุ่นมากไม่แพ้กันครับ จริงๆ รสชาติมันก็คล้ายๆ กันเนอะ แต่แกงกะหรี่ญี่ปุ่นรสชาติจะนุ่มนวลและออกหวานหน่อยๆ ไม่ค่อยฉุนจัดจ้านเหมือนแกงมัสมั่น ส่วนผสมต่างๆ ก็สามารถเลือกใส่ได้ตามชอบ ประยุกต์ได้ตามรสปากของแต่ละคนเลยครับ
เครื่องปรุง- อกไก่/เนื้อวัว/เนื้อหมู/เนื้อแกะ 300 g (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งครับ)
- หอมหัวใหญ่ 1 หัว
- แครอท 1 หัว
- แอ๊บเปิ้ล 1/2 ลูก
- พริกหวานสีแดง 1/2 ลูก
- มันฝรั่ง 200 กรัม
- น้ำมันพืช 1-2 ชต.
- น้ำสะอาด 500 มล.
- เครื่องแกงกะหรี่ญี่ปุ่น 60 กรัม (ของเรากล่องนึงหนัก 100 กรัม มี 5 ก้อน เราใช้ 3 ก้อนครับ)
หมายเหตุพวกผักผลไม้เนี่ยประยุกต์ได้ตามใจชอบนะครับ ชอบอะไรเป็นพิเศษก็ใส่มากหน่อย ส่วนที่ไม่ชอบก็ลดปริมาณลงหรือตัดออกไปก็ได้ตามใจพ่อครัวแม่ครัวลูกครัวเลยครับ
วิธีทำ
หั่นเนื้อเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกูลาช ปอกหอมหัวใหญ่ แครอทและมันฝรั่งแล้วหั่นเต๋าใหญ่ ปอกแอ๊บเปิ้ลแล้วหั่นเป็นเต๋าเล็กๆ หั่นพริกหวานเป็นเส้นหนาประมาณ 1/2 ซม. ครับ
นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำพืชลงไป พอน้ำมันร้อนใส่เนื้อที่หั่นไว้ลงทอดจนสีสวยทุกด้าน ใช้เวลาทอดประมาณ 3 นาทีครับ จากนั้นก็ตักเนื้อออกใส่หม้อสำหรับตุ๋นครับ
ใส่ผักทุกอย่างที่หั่นไว้ในกระทะ ผัดประมาณ 2 นาที แล้วจึงใส่แอ๊บเปิ้ล คนพอเข้ากันก็เทใส่หม้อที่ใส่เนื้อไว้แล้ว นำหม้อตั้งไฟกลาง เติมน้ำสะอาดลงไป ปิดฝาหม้อต้มจนเดือดก็ลดเหลือไฟอ่อนสุด ต้มต่อประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าเนื้อจะนิ่มครับ
เมื่อเนื้อนิ่มได้ที่แล้วก็เปิดฝาหม้อ หักก้อนเครื่องแกงเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ลงในหม้อแกง คนตลอดเวลาจนเครื่องแกงละลายหมด ตุ๋นไฟอ่อนต่ออีกประมาณ 5 นาที อย่าลืมคนเป็นครั้งคราวด้วยครับ
ตักข้าวสวยใส่จานแล้วตักแกงกะหรี่ราดลงบนข้าว เสิร์ฟร้อนๆ ถึงจะอร่อยครับ และถ้าอยากให้อร่อยยิ่งขึ้นก็แกงไว้ตอนเช้าแล้วอุ่นกินตอนเย็น หรือแกงตอนเ็ย็นแล้วอุ่นกินตอนเช้า รสชาติแกงจะเข้มข้นขึ้นกว่าตอนทำเสร็จใหม่ๆ เยอะเลยครับ
เพื่อนๆ ลองทำดูนะครับเผื่อจะชอบกัน แกงที่ทำง่ายกว่านี้น่าจะไม่มีแล้วครับ อ้อ.. หากใครชอบทานหวานกว่านี้ก็ให้หั่นกล้วยหอมสัก 1/2 ลูกใส่ต้มรวมกันด้วยนะครับ แต่เราว่าแค่นี้หวานกำลังดีครับ
ตัดต่อนิดนึง
มาจากเว็บ http://varithorn.blogspot.com/2009/07/kare-raisu.html- อกไก่/เนื้อวัว/เนื้อหมู/เนื้อแกะ 300 g (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งครับ)
- เป็ดปักกิ่ง:
วันนี้เราจะทำ เป็ดปักกิ่ง
ส่วนผสม- เป็ดเชอรี่ 1 ตัว
- ซีอิ้วดำ 1 ช้อนกินข้าว
- ผงพะโล้ 1 ช้อนชา
- เต้าเจียวบดละเอียด 2 ช้อนกินข้าว
- รากผักชี่หั่น
- ขิงแก่
- แบะแซ 2 ช้อนกินข้าว
- เหล้าโรง (เหล้าขาว 28 ดีกรี) 1 ช้อนกินข้าว
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- น้ำตาล 1 ช้อนกินข้าว
- สีผสมอาหาร สีแดง
วิธีทำ- เอาเป็ดทำความสะอาด โดยที่เอาเครื่องในออก และตัดขาออก
- โขลกขิง, รากผักชี ให้ละเอียด
- เมื่อโขลกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในมาผสมกับ ผงพะโล้, เต้าเจี้ยว, เกลือ, เหล้า,น้ำตาล คนให้เข้ากันแล้วใส่ในท้องเป็ด
- แล้วเอาไม้แหลมๆ หรือไม้เสียบลูกชิ้นก็ได้ แทงตรงก้นแบบซิกแซกไปมาแล้วผูกเชือกไม่ให้ลมออก
- เมื่อทำเสร็จแล้วให้เป่าลมเข้าไปตรงคอ ระหว่างหนังเป็ดกับเนื้อเป็ด เมื่อหนังเป็ดพองทั่วทั้งตัวแล้ว ให้เอาเชือกมัดคอเป็ดให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ลมออก
- หลังจากนั้นให้เอากะทะตั้งน้ำให้เดือด แล้วตักราดที่หนังเป็ดให้ทั่วเพื่อให้หนังตึง
- แล้วให้ละลาย แบะแซ, กับซีอิ้วดำ, สีผสมอาหารสีแดง, และน้ำเพียงเล็กน้อย คนให้เข้ากัน แล้วนำไปทาที่ตัวเป็ด เมื่อทาเสร็จแล้วให้เอาเป็ดไปแขวนผึ่งลมให้แห้ง หรือพอหมาดก็ได้
- เมื่อเป็ดแห้ หรือหมาดดีแล้วก็ยกเข้าถังอบ ใช้ไฟอ่อน (ถ้าำไม่มีถังอบก็ให้ใช้ถังน้ำมัน 200 ลิตร หรือโอ่งก็ได้)
- เมื่อย่างจนเหลืองสุกดีแล้ว ก็เสริฟขายได้เลย
วิธีทำน้ำจิ้ม- ซีอิ้วดำ, น้ำส้มสายชู, พริกชี้ฟ้าหั่น, เกลือ เอาทุกอย่างมาผสมคนให้เข้ากันชิ้มรสให้ออก เปรี้ยว - เค็ม - หวาน
มาจากเว็บ http://workdeena.blogspot.com/2009/05/blog-post_17.html- เป็ดเชอรี่ 1 ตัว
- พิซซ่า:
วิธีทําพิซซ่า ทําพิซซ่า วิธีทําพิซซ่า
Pizza สูตรดั้งเดิมส่วน ผสม แป้ง Pizza
1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วย
2. ยีสต์ 1 ช้อนกินข้าว
3. น้ำตาลทราย 1 ช้อนกินข้าว
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
6. เนยสด 50 กรัม
7. น้ำ เปล่า
วิธีทำ แผ่นแป้ง Pizza
* ให้คุณผสม ยีสต์, น้ำตาล ในน้ำอุ่น คนให้น้ำตาลละลาย อย่าคนแรง
* ให้ร่อนแป้งผสม กับเกลือ เตรียมไว้
* หลังจากนั้นให้นำ ยีสต์ที่เตรียมไว้แล้ว มาผสมกับแป้ง และให้ใส่น้ำ, น้ำมันมะกอก, และเนยลงไป นวดให้เข้ากันกับแป้ง
* การ นวดแป้งจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที แป้งถึงจะใช้ได้ เมื่อนวดเสร็จ ให้นำแป้งมาใส่พักไว้ในภาชนะก่อน พักไว้ประมาณ 1/2 ชั่วโมง
* เมื่อ ครบกำหนด ให้นำออกมาทำเป็นแผ่น แล้วใช้ ส้อมแท้งให้เป็นรู เพื่อไล่อากาศ แล้วทาน้ำมันมะกอกลงบนแป้งเพียงเล็กน้อย เพื่อเตียมไว้ราดซอส และแต่หน้า Pizza ก่อนเข้าเตาอบ
ส่วนผสม ซอส Pizza
1. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
2. หอมใหญ่สับละเอียด 1 หัว
3. มะเขือเทศเข้มข้น 1 ถ้วยตวง
4. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
5. เกลือป่น 2 ช้อนชา
6. พริก ไทย 1/2 ช้อนชา
7. ออริกาโน (Oregano) 2 ช้อนชา
วิธีทำ ซอส Pizza
* ให้ เทน้ำมันมะกอกบนกะทะ ใช้ไฟอ่อนๆ
* พอน้ำมันร้อน ให้เอาหอมหัวใหญ่ที่สับละเอียดแล้วลงไปให้หอม แล้วใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงไป ผัดให้ร้อน อย่าให้ไหม้ แค่นี้เป็นอันเสร็จ
- ส่วนการแต่งหน้า Pizza นั้น ก็แล้วแต่คุณชอบ แต่เมื่อคุณแต่งหน้า Pizza เสร็จแล้ว ก็อย่าลืมใส่เนยแข็ง (mozzarelle cheese) สำหรับโรยหน้าลงไปด้วยนะ ให้คุณอบ Pizza ในอุณหภูมิ 425 องศาฟาเรนไฮด์ เป็นเวลา 15 นาที
มาจากเว็บ http://www.eazydo.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%B2/
- ไข่ระเบิด:
- ไข่ระเบิด
[color=#999] ที่มาของข้อมูล : อาจารย์อมราภรณ์ วงษ์ฟัก (นิตยสารแม่บ้าน)
วิธีทำอาหาร- 1
- โขลกพริกขี้หนูสด พริกไทย รากผักชี กระเทียมให้ละเอียด
- 2
- ทอดไข่ดาว พักไว้
- 3
- ตั้งกระทะเทน้ำมันพอร้อน ใส่น้ำพริกแกงที่โขลกไว้ผัดให้หอม ใส่เนื้อหมูบด เม็ดถั่วลันเตา แครอท ข้าวโพดอ่อน ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล
- 4
- ตักราดบนไข่ดาว (ข้อ 2) โรยหน้าด้วยใบกะเพราทอดกรอบ
(function() {
var po = document.createElement('script'); po.type = 'text/javascript'; po.async = true;
po.src = 'https://apis.google.com/js/plusone.js';
var s = document.getElementsByTagName('script')[0]; s.parentNode.insertBefore(po, s);
})();
ส่วนผสมอาหาร
ไข่ไก่4
ฟอง
หมูบด1
ถ้วยตวง
ข้าวโพดอ่อน1/4
ถ้วยตวง
แครอท1/4
ถ้วยตวง
เม็ดถั่วลันเตา1/4
ถ้วยตวง
ใบกะเพราะทอดกรอบ1/2
ถ้วยตวง
พริกขี้หนูสด15
เม็ด
พริกไทย1
ช้อนชา
รากผักชี้5
ราก
กระเทียม10
กลีบ
น้ำปลา3
ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย1/2
ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช
มาจากเว็บ http://www.dumenu.com/recipe/678/ - 1
- ต๊อกโบกี:
ส่วนผสม
1. Ko chu jung ซอสเกาหลี
2. Rice Cake แป้งสีขาวๆ นุ่มๆ อร่อยดีค่ะและพวกเส้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สปาเกตตี้หรือมาม่า ฯลฯ แล้วแต่ชอบ
3. โอเด้ง (บ้านเราคือแนวๆ ลูกชิ้นปลานั่นล่ะค่ะ)
4. ไข่ต้ม
5. น้ำตาลทราย
6. ผักต่างๆ แล้วแต่ชอบ แต่โดยทั่วไปจะใช้ แครอท ต้นหอม หอมหัวใหญ่ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ กว้างราว 1 ซม.ยาวราว 3 ซม. แล้วก็กะหล่ำปลี
วิธีทำ
1.ต้มน้ำสักหนึ่งลิตรให้เดือด เดือดแล้วใส่ซอสเกาหลี Ko chu jung ลงไปหนึ่งช้อน ถ้าชอบเผ็ดก็ใส่สองช้อน คนให้เข้ากัน
2.ใส่ Rice Cake และเส้นสปาเกตตี้ลงไป ต้มจนสุก ระหว่างต้มก็คนไปด้วยนะคะ เส้นจะได้ไม่ติดกัน
3.ต้ม Rice Cake และเส้นต่างๆ ไว้ก่อนและตั้งรอท่าไว้ก็ได้ และถ้าทำแบบนั้น ตอนต้มให้ใส่เกลือนิดนึง สุกแล้วสะเด็ดน้ำ และคลุกด้วยน้ำมันพืชซะหน่อยเส้นจะได้ไม่ติดกัน จากนั้นทำตามขั้นตอนด้านล่างไปเรื่อยๆ และใส่เส้นตามตอนท้าย
4.ใส่ผัก และลูกชิ้นปลาที่หั่นเป็นชิ้นพอคำตามรูปลงไป ต้มจนได้ที่ (แล้วแต่ว่าชอบผักสุกมากสุกน้อย)
5.เติมน้ำตาลทรายลงไปสักสองช้อนโต๊ะ ก็แล้วแต่ว่าจะชอบกินหวานมาก หวานน้อย แต่ไม่ต้องเหยาะน้ำปลาลงไปนะคะ
6.เสร็จแล้วค่ะ ง่ายมากๆ เลยใช่ไม๊คะ อร่อยมากค่ะขอบอกให้ทราบโดยทั่วกัน
มาจากเว็บ http://food.thaibizcenter.com/fdetail.asp?ftipsid=7766
อัพเรื่อยๆ ^ ^
แก้ไขล่าสุดโดย Roughroro เมื่อ 30/1/2012, 21:15, ทั้งหมด 11 ครั้ง